“วัสดุแต่ละชนิดของวาล์ว” แตกต่างกันอย่างไร เหมาะแก่การใช้งานแบบไหน ?

วัสดุแต่ละชนิดของวาล์ว มีความแตกต่างในการใช้งานอย่างไร

วาล์ว (Valve) เป็นอุปกรณ์สำคัญในระบบท่อและการควบคุมของไหล ไม่ว่าจะเป็นน้ำ ไอน้ำ น้ำมัน ก๊าซ หรือสารเคมี โดยหน้าที่หลักคือการเปิดปิด ควบคุมทิศทาง และปรับอัตราการไหล วาล์วที่เลือกใช้ในงานอุตสาหกรรมไม่ได้ต่างกันแค่ชนิดของวาล์วเท่านั้น แต่วัสดุที่ใช้ผลิตวาล์ว ก็มีผลอย่างมากต่อความทนทาน ความปลอดภัย และอายุการใช้งาน

การเลือกวัสดุที่เหมาะสมจะช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากการกัดกร่อน การรั่วซึม หรือความเสียหายที่เกิดจากสภาพแวดล้อมที่รุนแรง บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับวัสดุยอดนิยมที่ใช้ทำวาล์ว และเปรียบเทียบว่ามีความแตกต่างในการใช้งานอย่างไร

1. เหล็กหล่อ (Cast Iron)

วาล์วที่ทำจากเหล็กหล่อถือเป็นหนึ่งในวัสดุที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในงานที่ไม่ต้องการรับแรงดันสูงมากนัก โดยคุณสมบัติเด่นของเหล็กหล่อได้แก่

ราคาประหยัด เหมาะสำหรับโครงการที่ต้องควบคุมต้นทุน
มีความแข็งแรงพอสมควร
เหมาะกับงานน้ำประปา ระบบ HVAC และงานอุตสาหกรรมทั่วไป

ข้อจำกัด

ไม่ทนต่อแรงดันสูง
มีความเปราะ อาจแตกหักได้ง่ายหากเจอแรงกระแทก
ไม่เหมาะกับสารเคมีหรือสภาพแวดล้อมที่มีการกัดกร่อนสูง

2. เหล็กเหนียว (Ductile Iron)

วัสดุที่พัฒนาต่อยอดจากเหล็กหล่อ โดยเพิ่มคุณสมบัติด้านความเหนียวและความทนทาน ทำให้สามารถใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น โดยคุณสมบัติเด่นของเหล็กเหนียวมีดังนี้

แข็งแรงกว่าหล่อเหล็กธรรมดา
ทนแรงดันและแรงกระแทกได้ดีกว่า
ใช้ได้ทั้งในระบบน้ำดิบ น้ำเสีย และงานอุตสาหกรรมที่มีแรงดันปานกลางถึงสูง

ข้อจำกัด

แม้ทนกว่าหล่อเหล็ก แต่ยังสู้สเตเลสหรือเหล็กกล้าไม่ได้ในงานที่กัดกร่อนรุนแรง

3. เหล็กกล้าคาร์บอน (Carbon Steel)

วาล์วที่ทำจากเหล็กกล้าคาร์บอนนิยมใช้ในอุตสาหกรรมที่มีแรงดันและอุณหภูมิสูงเพราะเป็นวาล์วที่มีออกแบบมาให้ทนทานต่อแรงดันโดยตรง สำหรับคุณสมบัติเด่นที่น่าสนใจได้แก่

แข็งแรง ทนแรงดันสูง
เหมาะกับงานระบบท่อไอน้ำ น้ำมัน และก๊าซ
ใช้ได้ดีในโรงไฟฟ้า โรงงานปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมพลังงาน

ข้อจำกัด

มีความไวต่อการกัดกร่อน ต้องเคลือบหรือเลือกเกรดที่เหมาะสม
ต้องมีการบำรุงรักษาสม่ำเสมอเพื่อป้องกันสนิม

4. สเตนเลส (Stainless Steel)

สเตนเลสเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหลายอุตสาหกรรม เพราะมีความทนทานและทนการกัดกร่อนได้ดี ในวาล์วก็เช่นเดียวกัน หลายอุตสาหกรรมมักจะเลือกใช้วาล์วสเตเลส เพราะคุณสมบัติเหล่านี้

ทนการกัดกร่อนและสนิมได้ดี
ใช้งานได้กับของเหลวที่เป็นกรด ด่าง หรือสารเคมี
เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม ยา และงานที่ต้องการสุขอนามัยสูง
ใช้งานได้ทั้งแรงดันและอุณหภูมิสูง

ข้อจำกัด

ราคาสูงกว่าวัสดุอื่น
ต้องเลือกเกรดสเตเลสที่เหมาะสม เช่น 304, 316 เพื่อให้ตรงกับสภาพการใช้งาน

5. ทองเหลือง (Brass)

วาล์วทองเหลืองเป็นที่นิยมในงานระบบน้ำขนาดเล็กและงานบ้านที่อยู่อาศัย โดยคุณสมบัติเด่นของวาล์วทองเหลืองคือความทนทานและด้านอื่น ๆ ดังนี้

ทนต่อการกัดกร่อนจากน้ำได้ดี
น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย
ราคาย่อมเยาเมื่อเทียบกับสเตเล

ข้อจำกัด

ไม่เหมาะสำหรับสารเคมีที่รุนแรง
ไม่ทนแรงดันและอุณหภูมิสูง

6. บรอนซ์ (Bronze)

บรอนซ์เป็นวัสดุที่ผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก มีคุณสมบัติทนทานและแข็งแรงพร้อมด้วยคุณสมบัติที่รองรับกับการใช้งานที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งคุณสมบัติเด่นที่น่าสนใจ เช่น

ทนการกัดกร่อนจากน้ำทะเลได้ดีกว่าทองเหลือง
ใช้ในงานเดินเรือและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำทะเล
มีความแข็งแรงและอายุการใช้งานยาวนาน

ข้อจำกัด

ราคาสูงกว่าทองเหลือง
น้ำหนักมากกว่า

7. พลาสติกวิศวกรรม (PVC, CPVC, PP, PVDF)

ในงานที่ต้องการความทนทานต่อสารเคมี แต่น้ำหนักเบา นิยมใช้วาล์วพลาสติกซึ่งคุณสมบัติที่น่าสนใจของวาล์วพลาสติกวิศวกรรมได้แก่

ทนสารเคมีและการกัดกร่อนได้ดีมาก
น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย
ราคาย่อมเยาในบางเกรด เช่น PVC

ข้อจำกัด

ไม่ทนความร้อนและแรงดันสูงมาก
ไม่เหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรมหนัก

การเลือกวัสดุของวาล์วเป็นสิ่งสำคัญที่มีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบ ไม่ว่าจะเป็นเหล็กหล่อที่คุ้มค่า เหล็กเหนียวที่ทนแรงดัน สเตนเลสที่ทนการกัดกร่อน หรือบรอนซ์ที่ใช้กับน้ำทะเล แต่ละวัสดุมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน

ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกใช้วาล์วในโครงการ ควรพิจารณาจาก ชนิดของของไหล แรงดัน อุณหภูมิ และสภาพแวดล้อม เพื่อให้ได้วัสดุที่เหมาะสมที่สุด หากคุณต้องการคำปรึกษาหรือเลือกซื้อวาล์วคุณภาพมาตรฐานสากล สามารถติดต่อ Asia Pacific Supply & Engineering เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยแนะนำและเลือกสินค้าให้เหมาะสมกับงานของคุณได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยต่อการใช้งานได้มากที่สุด